อารยธรรมอุซเบกิสถาน
อารยธรรมอุซเบกิสถาน
อุซเบกิสถาน (Uzbekistan) หรือชื่อทางการว่าสาธารณรัฐอุซเบกิสถาน (Republic of Uzbekistan) เป็นประเทศในเอเชียกลางที่ถูกล้อมรอบด้วยประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล (Double landlocked country) ซึ่งตั้งอยู่ในทำเลที่ขนาบด้วยแม่น้ำใหญ่ 2 สาย คือแม่น้ำอามูดารยาและแม่น้ำซีร์ดารยาซึ่งเป็นแม่น้ำ 2 สายหลักของประเทศ มีพรมแดนติดกับประเทศอัฟกานิสถาน คาซัคสถาน คีร์กีซสถาน ทาจิกิสถาน และเติร์กเมนิสถาน พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชได้ยึดครองดินแดนของประเทศอุซเบกิสถานเมื่อ 367 ปีก่อนคริสตกาล ในภายหลังดินแดนแห่งนี้ได้ถูกผนวกเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิเปอร์เซียในช่วงคริสต์ศตวรรตที่ 6 ก่อนจะถูกยึดครองโดยจักรวรรดิมองโกลของเจงกิสข่านเมื่อ ค.ศ. 1220 ในศตวรรษที่ 13 ขุนศึกชื่อติมูร์ (Timur / Tamerlane) ได้มีอำนาจเหนือมองโกล และตั้งอาณาจักรของตนเองขึ้นมาที่เมืองซามาร์คานด์ซึ่งติเมอร์ได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ในการสร้างชาติอุซเบกิสถานในยุคปัจจุบัน ด้วยภูมิประเทศที่มีธรรมชาติอันงดงามและหลากหลายตั้งแต่ทะเลทราย โอเอซิส ภูเขาสกีรีสอร์ทจึงเหมาะสำหรับการท่องเที่ยวหลากรูปแบบตั้งแต่การท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์และโบราณคดี ประเทศนี้กำลังกลายเป็นแหล่งสถานที่ท่องเที่ยวในอนาคตที่พรั่งพร้อมรองรับนักท่องเที่ยวทุกรูปแบบจากทุกมุมโลกอันเนื่องจากอุดมไปด้วยอารยธรรมและวัฒนธรรมโบราณกว่า 2,500 ปี ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางสายไหมของแท้จนได้รับการขึ้นเป็นมรดกโลกหลายต่อหลายแห่งเลยทีเดียว
เติร์กเมนิสถาน Turkmenistan ประเทศในเอเชียกลาง ดินแดนที่สืบทอดประวัติศาตร์อันยาวนานหลายพันปี สืบสานมรดกอารยธรรมโบราณนับแต่เปอร์เซียโบราณ ปาร์เธียน สู่อาหรับเซลจูก ตาตาร์มองโกล รัสเซีย จวบจนถึงยุคเติร์กเมนในปัจจุบัน เป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล ตั้งอยู่ในภูมิภาคเอเชียกลาง มีพรมแดนติดกับคาซัคสถาน อุซเบกิสถาน อัฟกานิสถาน และอิหร่าน มีชายฝั่งบนทะเลแคสเปียน เคยเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต เป็นหนึ่งในรัฐเตอร์ก (Turkic) ในเอเชียกลาง 1 ใน 6 รัฐเตอร์กอิสระ จนกระทั่งปี ค.ศ. 1991 ซึ่งเติร์กเมนิสถานได้ประกาศเอกราชใน วันที่ 27 ตุลาคม 1991 วันสุดท้ายก่อนการสลายของสหภาพโซเวียต และในปีถัดไปเติร์กเมนิสถานได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกขององค์การสหประชาชาติ เติร์กเมนิสถานเป็นแหล่งสำรองก๊าซธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 4 ของโลก แม้ว่าจะเป็นผู้มั่งคั่งในทรัพยากรทางธรรมชาติในบางพื้นที่ส่วนใหญ่ราว 80% ของประเทศถูกปกคลุมด้วย ทะเลทรายดำ Kara Kum ประเทศเติร์กเมนิสถานแบ่งออกเป็น 5 จังหวัด หรือ Welayat ในภาษาท้องถิ่น (Turkmen Russian) ซึ่งได้แก่ จังหวัดอาคฮาล อันเป็นที่ตั้งของเมืองหลวง อาชกาบัด, จังหวัดมารี ทางตอนใต้, จังหวัดเลบับ ทางตะวันออก, จังหวัดดาโชกัซ ทางตอนเหนือ และจังหวัดบัลข่าน ทางตะวันตกที่ติดกับทะเลแคสเปียน
เติร์กเมนิสถานมีประวัติศาสตร์อันหลากหลายและยาวนาน กองทัพจากอาณาจักรหนึ่งเข้ามาช่วงชิงเพื่อปกครองดินแดน แล้วก็ทิ้งไปแสวงหาเมืองขึ้นอันมั่งคั่งอื่น ๆ เริ่มต้นด้วย จักรวรรดิ Achaemenid ของเปอร์เซียโบราณ จักรพรรดิ์อเล็กซานเดอร์ มหาราช เคยได้เข้ามายึดครองเมื่อครั้งเดินทัพสู่เอเชียกลางประมาณยุคสมัยเดียวกันกับเส้นทางสายไหม (Silk Road) ราว 400 ปี ก่อนคริสต์กาล ก่อให้เกิดเส้นทางการค้าที่สำคัญระหว่างเอเชีย และ ภูมิภาคเมดิเตอร์เรเนียน ต่อจากนั้นมาประมาณ 80 ปี อาณาจักรเปอร์เซียนปาร์เธียน (Persia’s Parthian Kingdom) ได้ตั้งเมืองหลวงขึ้นที่เมือง Nisa ซึ่งปัจจุบันเป็นพื้นที่ชานเมืองของอาชกาบัด (Ashkabad) เมืองหลวงของเติร์กเมนิสถาน ประวัติศาสตร์หน้าต่อมาเข้าสู่ยุคของอาณาจักร์เปอร์เซียนซาสซานิดส์ (Persian Sassanids Empire) ซึ่งได้เข้ามายึดครองพื้นที่ต่อจากอาณาจักรปาร์เธียน ซึ่งเท่ากับว่าราชวงศ์อิหร่านได้ครองดินแดนแถบนี้อยู่หลายศตวรรษ
ครั้งเมื่อถึงศตวรรษที่ 7 อาหรับได้พิชิตยึดครองภูมิภาคนี้ ได้นำศาสนาอิสลามเข้ามาเผยแพร่ และทำให้ภูมิภาคเติร์กเมนิสถานเป็นที่รู้จักในฐานะเมืองหลวงของมหานครโคราซาน (Greater Khorasan) เมื่อองค์กาหลิบ อัลแม่มูล ย้ายเมืองหลวงไปอยู่ที่เมืองเมิร์ฟ (Merv) ช่วงกลางศตวรรษที่ 11 อาณาจักรเตอร์โกมานเซลจูก (Turkoman-ruled Seljuk Empire) ได้สนธิกำลังเพื่อขยายอำนาจเข้าสู่มหานครโคราซาน (ประเทศอัฟกานิสถานในปัจจุบัน) แต่ที่สุดได้อ่อนกำลังลงจนเสียเอกราชทำให้ เจงกิส ข่าน (Genghis Khan) สามารถเข้ามายึกครองภูมิภาคตะวันออกของทะเลแคสเปียน (ยังเป็นข้อกังขาอยู่ในการจะนิยามระหว่างการเป็นทะเล หรือทะเลสาบ)
ประวัติศาตร์ในช่วง 700 ปี หรือ 7 ศตวรรษต่อมา ภูมิภาคเติร์กเมนได้ตกอยู่ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิต่าง ๆ และการทำศึกสงครามระหว่างชนเผ่า ก่อนที่จะเข้าสู่ยุคของอาณาจักรรัสเชียน จากศตวรรษที่ 13 สู่ศตวรรษที่ 16 ได้เกิดกลุ่มชาติพันธุ์ที่แตกต่างกันขึ้นในภูมิภาคเติร์กเมน ซึ่งได้แก่กลุ่มผู้อพยพมาจากบริเวณรอบ ๆ คาบสมุทรแมนกิชลัก (Mangyshlak Peninsula) รอยต่อจากคาซัคสถานกับพรมแดนอิหร่าน และลุ่มน้ำอมู ดาร์ยา (Amu Darya) ซึ่งวิถีชีวิตและความเป็นอยู่ในสังคมได้ก่อให้เกิดเป็นวัฒนธรรมประเพณี อันเป็นจิตสำนึกของชนชาวเติร์เมน
ระหว่างศตวรรษที่ 17 ถึงศตวรรษที่ 19 ช่วงเวลาที่ได้เกิดศึกสงครามการต่อสู้แย่งชิงเพื่อเข้าปกครองภูมิภาคเติร์กเมนระหว่างเจ้าผู้ปกครองอัฟกานิสถาน (Rulers of Afghanistan), พระเจ้าชาห์ แห่งเปอร์เซีย (Persian Shahs), กิวา ข่าน (Khivan Khans) และอิเมียร์ส แห่ง บุคาร่า (Emirs of Bukhara) ได้สร้างความโดดเด่นให้กับ Magtymguly Pyragy ผู้นำทางจิตวิญญาณของชาวเติร์กเมนิสถาน ผู้ซึ่งได้พยายามที่จะรักษาเอกราช และความปลอดภัยให้กับคนของเขา แต่ในปี ค.ศ. 1885 กองทัพรัสเซียได้เข้ายึดดินแดนพื้นที่โอเอซิส พานจเดห์ (Panjdeh oasia) ของอัฟกานิสถาน (ปัจจุบันได้แก่เมือง Serhetabat ในเติร์กเมนิสถาน) ขณะที่เป็นที่ได้มีการโจษจันกล่าวขานกันว่าเติร์เมนได้มีส่วนร่วมอยู่กับกิจกรรมการค้าทาสในเอเชียกลาง บรรดาเพื่อนบ้านประเทศที่อยู่ข้างเคียงไม่ว่าจะเป็นหมู่บ้านชนบทในเปอร์เชีย หรืออัฟกานิสถานก็กลัวที่จะตกเป็นเหยื่อของการบุกรุก และถูกจับกุมโดยกองกำลังเติร์กเมน ชายติดอาวุธบนหลังม้า ที่มักจะรุกล้ำเข้าไปจับเชลยเพื่อนำไปขายในตลาดค้าทาส ที่ คีว่า (Khiva), บุคาร่า (Bukhara) และ มาริ (Mari) และในช่วงศตวรรษและเวลาดังกล่าว โลกตะวันตก และยุโรป ยังไม่มีใครรู้จักเติร์กเมนิสถาน และยังไม่ถูกระบุพิกัดไว้ในแผนที่ ขณะที่จักรวรรดิอังกฤษ (British Empire) และรัสเซียซาร์ (Tsarist Russia) กำลังแข่งขันการล่าอาณานิคมกันอยู่ ซึ่งกองทัพรัสเชียนที่ออกล่าอาณานิคมในพื้นที่ดินแดนแถบเอเชียกลางนั้น ได้รับการต่อต้านจากเติร์กเมนอย่างแข็งขัน แต่จนแล้วจนรอดในปี ค.ศ. 1894 ดินแดนของเติร์กเมนิสถานได้ถูกผนวกเข้าไปอยู่ในอาณาจักรของรัสเซีย
เติร์กเมนิสถานมีประวัติศาสตร์อันหลากหลายและยาวนาน กองทัพจากอาณาจักรหนึ่งเข้ามาช่วงชิงเพื่อปกครองดินแดน แล้วก็ทิ้งไปแสวงหาเมืองขึ้นอันมั่งคั่งอื่น ๆ เริ่มต้นด้วย จักรวรรดิ Achaemenid ของเปอร์เซียโบราณ จักรพรรดิ์อเล็กซานเดอร์ มหาราช เคยได้เข้ามายึดครองเมื่อครั้งเดินทัพสู่เอเชียกลางประมาณยุคสมัยเดียวกันกับเส้นทางสายไหม (Silk Road) ราว 400 ปี ก่อนคริสต์กาล ก่อให้เกิดเส้นทางการค้าที่สำคัญระหว่างเอเชีย และ ภูมิภาคเมดิเตอร์เรเนียน ต่อจากนั้นมาประมาณ 80 ปี อาณาจักรเปอร์เซียนปาร์เธียน (Persia’s Parthian Kingdom) ได้ตั้งเมืองหลวงขึ้นที่เมือง Nisa ซึ่งปัจจุบันเป็นพื้นที่ชานเมืองของอาชกาบัด (Ashkabad) เมืองหลวงของเติร์กเมนิสถาน ประวัติศาสตร์หน้าต่อมาเข้าสู่ยุคของอาณาจักร์เปอร์เซียนซาสซานิดส์ (Persian Sassanids Empire) ซึ่งได้เข้ามายึดครองพื้นที่ต่อจากอาณาจักรปาร์เธียน ซึ่งเท่ากับว่าราชวงศ์อิหร่านได้ครองดินแดนแถบนี้อยู่หลายศตวรรษ
ครั้งเมื่อถึงศตวรรษที่ 7 อาหรับได้พิชิตยึดครองภูมิภาคนี้ ได้นำศาสนาอิสลามเข้ามาเผยแพร่ และทำให้ภูมิภาคเติร์กเมนิสถานเป็นที่รู้จักในฐานะเมืองหลวงของมหานครโคราซาน (Greater Khorasan) เมื่อองค์กาหลิบ อัลแม่มูล ย้ายเมืองหลวงไปอยู่ที่เมืองเมิร์ฟ (Merv) ช่วงกลางศตวรรษที่ 11 อาณาจักรเตอร์โกมานเซลจูก (Turkoman-ruled Seljuk Empire) ได้สนธิกำลังเพื่อขยายอำนาจเข้าสู่มหานครโคราซาน (ประเทศอัฟกานิสถานในปัจจุบัน) แต่ที่สุดได้อ่อนกำลังลงจนเสียเอกราชทำให้ เจงกิส ข่าน (Genghis Khan) สามารถเข้ามายึกครองภูมิภาคตะวันออกของทะเลแคสเปียน (ยังเป็นข้อกังขาอยู่ในการจะนิยามระหว่างการเป็นทะเล หรือทะเลสาบ)
ประวัติศาตร์ในช่วง 700 ปี หรือ 7 ศตวรรษต่อมา ภูมิภาคเติร์กเมนได้ตกอยู่ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิต่าง ๆ และการทำศึกสงครามระหว่างชนเผ่า ก่อนที่จะเข้าสู่ยุคของอาณาจักรรัสเชียน จากศตวรรษที่ 13 สู่ศตวรรษที่ 16 ได้เกิดกลุ่มชาติพันธุ์ที่แตกต่างกันขึ้นในภูมิภาคเติร์กเมน ซึ่งได้แก่กลุ่มผู้อพยพมาจากบริเวณรอบ ๆ คาบสมุทรแมนกิชลัก (Mangyshlak Peninsula) รอยต่อจากคาซัคสถานกับพรมแดนอิหร่าน และลุ่มน้ำอมู ดาร์ยา (Amu Darya) ซึ่งวิถีชีวิตและความเป็นอยู่ในสังคมได้ก่อให้เกิดเป็นวัฒนธรรมประเพณี อันเป็นจิตสำนึกของชนชาวเติร์เมน
ระหว่างศตวรรษที่ 17 ถึงศตวรรษที่ 19 ช่วงเวลาที่ได้เกิดศึกสงครามการต่อสู้แย่งชิงเพื่อเข้าปกครองภูมิภาคเติร์กเมนระหว่างเจ้าผู้ปกครองอัฟกานิสถาน (Rulers of Afghanistan), พระเจ้าชาห์ แห่งเปอร์เซีย (Persian Shahs), กิวา ข่าน (Khivan Khans) และอิเมียร์ส แห่ง บุคาร่า (Emirs of Bukhara) ได้สร้างความโดดเด่นให้กับ Magtymguly Pyragy ผู้นำทางจิตวิญญาณของชาวเติร์กเมนิสถาน ผู้ซึ่งได้พยายามที่จะรักษาเอกราช และความปลอดภัยให้กับคนของเขา แต่ในปี ค.ศ. 1885 กองทัพรัสเซียได้เข้ายึดดินแดนพื้นที่โอเอซิส พานจเดห์ (Panjdeh oasia) ของอัฟกานิสถาน (ปัจจุบันได้แก่เมือง Serhetabat ในเติร์กเมนิสถาน) ขณะที่เป็นที่ได้มีการโจษจันกล่าวขานกันว่าเติร์เมนได้มีส่วนร่วมอยู่กับกิจกรรมการค้าทาสในเอเชียกลาง บรรดาเพื่อนบ้านประเทศที่อยู่ข้างเคียงไม่ว่าจะเป็นหมู่บ้านชนบทในเปอร์เชีย หรืออัฟกานิสถานก็กลัวที่จะตกเป็นเหยื่อของการบุกรุก และถูกจับกุมโดยกองกำลังเติร์กเมน ชายติดอาวุธบนหลังม้า ที่มักจะรุกล้ำเข้าไปจับเชลยเพื่อนำไปขายในตลาดค้าทาส ที่ คีว่า (Khiva), บุคาร่า (Bukhara) และ มาริ (Mari) และในช่วงศตวรรษและเวลาดังกล่าว โลกตะวันตก และยุโรป ยังไม่มีใครรู้จักเติร์กเมนิสถาน และยังไม่ถูกระบุพิกัดไว้ในแผนที่ ขณะที่จักรวรรดิอังกฤษ (British Empire) และรัสเซียซาร์ (Tsarist Russia) กำลังแข่งขันการล่าอาณานิคมกันอยู่ ซึ่งกองทัพรัสเชียนที่ออกล่าอาณานิคมในพื้นที่ดินแดนแถบเอเชียกลางนั้น ได้รับการต่อต้านจากเติร์กเมนอย่างแข็งขัน แต่จนแล้วจนรอดในปี ค.ศ. 1894 ดินแดนของเติร์กเมนิสถานได้ถูกผนวกเข้าไปอยู่ในอาณาจักรของรัสเซีย
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น